พระราชประวัติ

พระราชประวัติ

ที่มา : http://pr.pn.psu.ac.th/picturebank/Mahidol/120year/img026.jpg

สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรมพระบรมราชชนก ทรงเป็นพระองค์ที่ 69 ในจำนวนพระราช โอรส พระราชธิดา 77 พระองค์ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระ องค์ที่ 7 ในสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงพระราชสมภพในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันศุกร์ขึ้น 3 ค่ำ เดือนยี่ ปีเถาะ ตรงกับวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2434 (ค.ศ.1891) มีพระนามเต็มว่า "สมเด็จเจ้าฟ้าชายมหิดล อดุลยเดชนเรศวรมหาราชาธิบดินทร์ จุฬาลงกรณินทรวรางกูร สมบูรณ์เบญจพรสิริสวัสดิ์ขัตติยวโรภโตสุชาติ คุณสังกาศเกียรติประกฤษฐลักษณะวิจิตรพิสิฏฐบุรุษย์ ชนุดมรัตนพัฒนศักดิ์ อรรควรราชกุมาร"

เมื่อยังทรงพระเยาว์ ประทับอยู่กับสมเด็จพระราชชนนีในพระบรมมหาราชวัง โดยมีกรมหลวงสมรรัตน ศิริเชษฐ์ เป็นผู้ถวายการดูแลอย่างใกล้ชิด พระพี่เลี้ยง คือ มจ. กุสุมาเกษมสันต์ พระพลานามัยไม่สมบูรณ์นัก ต้องเสวย น้ำมันตับปลาเป็นประจำ พระกระยาหารที่ทรงโปรดมาก คือ ปลากุเลากับส้มโอฉีก ส่วนเครื่องหวานทรงโปรดอ้อยควั่นแช่น้ำดอกไม้สด

สมเด็จพระบรมราชชนกได้รับการถวายพระอักษรตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์มากที่โรงเรียนราชกุมาร ในพระ บรม มหาราช วัง โดยมีพระยาอิศรพันธุ์โสภณ (หนู) เป็นพระอาจารย์ภาษาไทยคนแรก ทรงมีพระสหายสนิท คือ สมเด็จ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร
ในส่วนพระราชจริยาวัตรนั้น ไม่ทรงถือพระองค์และทรงมี น้ำพระทัยเมตตากรุณา ต่อบรรดาประชาราษฎร์มาแต่ยังทรงพระเยาว์


พระราชพิธีโสกันต์และพระราชทานพระสุพรรณบัตร


ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร_อดุลยเดชวิกรม_พระบรมราชชนก#/media/File:พระบรมราชชนกโสกันต์.jpg


สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช เมื่อพระชนม์ได้ 12 พรรษา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้มีพระราช พิธีมหามงคลโสกันต์ มีการสมโภช 7 วัน 7 คืน ตั้งแต่ วันที่ 24 ถึง 31 ธันวาคม พ.ศ. 2446 หลังโสกันต์แล้ว

 “เป็นพระราชประเพณีโบราณมา ที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้า เมื่อทรงพระชันษาเจริญขึ้น สมควรกาลแล้ว ก็พระราชทานพระสุพรรณบัตรเฉลิมพระนาม ตามควรที่ตั้งอยู่ในพระบรมราชตระกูลอันสูงศักดิ์ บางพระ องค์ โปรดเกล้า ฯ ให้ดำรงพระเกียรติยศเป็นเจ้าฟ้าต่างกรม ทรงศักดินาเต็มตามพระราชกำหนด เป็นธรรมเนียมสืบ มา ทรงพระราชดำริว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าชายมหิดลทรงพระเจริญวัย สมควรได้รับพระสุพรรณบัตร เฉลิมพระนามตามขัตติยราชประเพณี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้มีพระราชพิธีตามอย่างที่เคยมีมาแต่ก่อน ให้สถาปนาสมเด็จ พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าชายขึ้นเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดล อดุลยเดช นเรศวรมหาราชาธิบดินทร์ จุฬาลงกรณินทรวรางกูร สมบูรณ์เบญจพรสิริสวัสดิ์ ขัตติยวโรภโตสุชาติ คุณสังกาศเกียรติ ประกฤษฐ์ ลักษณวิจิตรพิสิฏฐบุรุษย์ ชนุดมรัตนพัฒนศักดิ์ อรรควรราชกุมาร กรมขุนสงขลานครินทร์ มุสิกนาม ให้ทรงศักดินา 40,000 ตามพระราชกำหนด อย่างสมเด็จ พระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าต่างกรม ในพระบรมราชตระกูลอันสูงศักดิ์"

ทรงผนวช
ในวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2447 หลังจากพิธีโสกันต์ได้ 1 ปี สมเด็จพระบรมราชชนก ทรงผนวชเป็น สามเณรที่วัดบวรนิเวศวิหาร พร้อมด้วยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว (ซึ่งขณะนั้นทรงดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช) ซึ่งการนี้มีการสมโภชที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ระหว่างทรงผนวชประทับที่ "ตำหนักทรงพรต" ทรงลาผนวช เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2447
เสด็จศึกษาในต่างประเทศ

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริให้พระราชโอรส 3 พระองค์ ที่ทรงอยู่ใน วัยที่สมควรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์ เสด็จไปทรงศึกษาต่อที่ยุโรป ดังที่เคยทรง ปฏิบัติมากับพระราชโอรสที่ทรงแข็งแรงพอ ในครั้งนี้พระราชโอรส ทั้ง 3 พระองค์ คือ สมเด็จเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธฯ กรมขุน นครราชสีมา สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล อดุลยเดชฯ กรมขุนสงขลานครินทร์ และสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑารุชธราดิลกฯ กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทรา ไชย ได้เสด็จออกจากกรุงเทพ ฯ วันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2448 (ค.ศ.1905) ถึงลอนดอนวันที่ 11 มิถุนายน ปีเดียวกัน

สมเด็จพระบรมราชชนก เสด็จไปประทับกับครอบครัวนายคอลเชสเตอร์วิมส์ ในเมืองเล็ก ๆ เพื่อให้ภาษาอังกฤษ และความรู้อื่น ๆ ดีขึ้น ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2449 (ค.ศ.1906) ได้เสด็จไปทรงศึกษาที่โรงเรียนแฮร์โรว์เป็นเวลาปีครึ่ง

ในปี พ.ศ. 2450 (ค.ศ.1907) ได้เสด็จไปทรงศึกษาวิชาทหารบกที่เมืองปอตสดัม ประเทศเยอรมณี ทรง ศึกษาที่โรงเรียนนายร้อยชั้น ต้น พระเจ้าไกเซอร์วิลเฮล์ม ได้จัดนายร้อยเอกเอ็กเป็นพระอภิบาล เมื่อทรงจบหลักสูตรโรงเรียนนายร้อยชั้นต้นแล้ว เสด็จเข้าโรงเรียนนายร้อยชั้นสูงที่ โกรสลิชเตอร์เฟลเด้ (Gross Lichterfelde) ทรงศึกษาโรงเรียนนี้ 2 ปี ในปีสุดท้ายทรงมีพระประสงค์จะเปลี่ยนเหล่าทัพ ไปศึกษาวิชาทหารเรือแทนที่จะเป็น ทหารบก พระเจ้าไกเซอร์ทรงอนุญาตด้วยเงื่อนไขว่า ต้องทรงสอบวิชาทหารบกได้ก่อน ซึ่งก็ทรงทำได้อย่างดี สมเด็จพระ บรมราชชนก ได้เสด็จไปทรงศึกษาในโรงเรียนนายเรือที่ Imperial German Naval College ระหว่างที่ทรงศึกษาอยู่ ทรงสอบได้เป็นที่ 1 และในปีสุดท้ายของการศึกษา ทรงชนะการประกวดการออกแบบเรือดำน้ำ

ในปี พ.ศ. 2454 (ค.ศ.1911) ทรงสำเร็จการศึกษาเป็นนายเรือตรีในกองทัพเรือเยอรมัน และได้รับพระ ราชทานยศจากเมืองไทย เป็นนายเรือตรีแห่งราชนาวีไทย เมื่อพระชนมายุได้ 21 พรรษา ทรงรับราชการในกองทัพเรือเยอรมันเป็นเวลา 3 ปี


เจ้าฟ้าทหารเรือ

ที่มา : http://www.navy.mi.th/navalmuseum/002_history/image/pre_b12_rachanok_p2.jpg

ในปีพุทธศักราช 2457 (ค.ศ.1914) เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 อุบัติขึ้น สมเด็จพระบรมราชชนกทรง ลาออกจากกองทัพเรือเยอรมัน เสด็จนิวัติประเทศไทย และเข้ารับราชการในกระทรวงทหารเรือ ในตำแหน่งสำรองราชการ กรมเสนาธิการทหารเรือได้รับพระราชทานยศเป็นนายเรือโท ตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2458 หลังจากทรง ศึกษาระเบียบราชการทหารเรือ และวิธีบริหารราชการจาก กรมเสนาธิการทหารเรือ ประมาณ 4 เดือน ทรงย้ายไปรับตำแหน่งในกองอาจารย์นายเรือ แผนกตำรากรมยุทธศึกษาทหารเรือ เพื่อจะได้ทรงมีเวลาศึกษาเกี่ยวกับหลักสูตรของวิชา และวิธีการสอนในโรงเรียนนายเรือ ทรงสนพระทัยในการสอนนักเรียนนายเรือเป็นอย่างยิ่ง สมเด็จพระบรมราชชนก ทรงสนพระทัยและเชี่ยวชาญทาง เรือดำน้ำและเรือตอร์บิโดรักษาฝั่งซึ่งทรงศึกษามาจากประเทศเยอรมัน

ในปีพุทธศักราช 2458 (ค.ศ.1915) เป็นรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระ ราชประสงค์จะบูรณะกองทัพเรือซึ่งขณะนั้นเล็กมาก จึงได้จัดให้มีการประชุมนายทหารเรือ สมเด็จพระบรมราชชนกถวายความเห็นว่าเมืองไทยเป็นประเทศเล็ก ไม่มีฐานทัพเรือและอู่ใหญ่ๆ จึงไม่มีประโยชน์ที่จะมีเรือรบใหญ่ ควรใช้เรือเล็ก ๆ เช่นเรือดำน้ำ และเรือตอร์ปิโด ซึ่งเข้าแม่น้ำได้สะดวกจะมีประโยชน์กว่า แต่ในสมัยนั้นผู้ใหญ่ส่วนมาก ได้ศึกษามาจากประเทศอังกฤษ มีความเห็นว่าควรมีเรือใหญ่ เพื่อจะได้ฝึกทหารไปในตัว และคิดว่าจะใช้เรือขนาดครูเซอร์ สมเด็จพระบรมราชชนก ขณะ นั้นดำรงพระยศสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ ก็มิได้ทรงถืออำนาจ ทรงยอม รับฟัง แต่น้อยพระทัยว่าอุตส่าห์ไปทรงศึกษาวิชานี้โดยตรงจากประเทศเยอรมัน ครั้นถึงเวลาปฏิบัติงานจริง กลับไม่ได้ดังพระประสงค์ ต่อมาทรงลาออกจากประจำการเมื่อ วันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2459 (ค.ศ.1916) รวมเวลาที่ทรงรับราชการในกระทรวงทหารเรือ 9 เดือน 18 วัน ภายหลังได้พบเอกสารลายพระหัตถ์เป็นภาษา เยอรมันและ มีภาพร่างเรือรบแบบต่าง ๆ หลังจากดำเนินการแปลแล้ว ทำให้ทราบว่า ขณะที่สมเด็จพระบรมราชชนกยังทรงรับราชการทหารเรือนั้น ทรงจัดทำโครงการเกี่ยวกับเรือดำน้ำ และทรงร่างโครงการสร้างกำลังทางเรือทั้งกองทัพไว้อีกด้วย แต่ยังไม่ได้ทรงจัดทำเป็นการงานให้ เรียบร้อย ก็ทรงลาออกจากกระทรวงทหารเรือในสมัยนั้นเสียก่อน


องค์บิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบัน และการสาธารณสุขไทย


ที่มา : http://upic.me/i/9u/father.jpg

ในปี พ.ศ. 2459 (ค.ศ.1916) สมเด็จกรมพระยาชัยนาทนเรนทร ทรง ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยปลัดทูลฉลอง และ ผู้บัญชาการราชแพทยาลัย ทรงพิจารณาเห็นว่า โรงเรียนแพทย์อยู่ในฐานะล้าหลังมาก เมื่อเทียบกับโรงเรียน แพทย์ ในทวีปยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านวิทยาศาสตร์ ทรงตกลงพระทัยที่จะปรับปรุงเป็นการใหญ่ แต่ต้องประสบ อุปสรรค คือ หาผู้ที่มีวิชามาเป็นอาจารย์ไม่ได้ จึงได้ทรงพยายามชักชวนผู้ที่มีความรู้มาร่วมงาน พร้อมทั้งได้ขอร้องให้กระทรวงธรรมการติดต่อกับมูลนิธิร็อกกี เฟลเลอร์ ให้ช่วยจัดอาจารย์ในวิชากายวิภาคศาสตร์ , สรีรวิทยา , พยาธิวิทยาและศัลยกรรม ซึ่งในครั้งกระนั้นประเทศไทยได้ผู้เชี่ยวชาญมาเพียงคนเดียว คือ ดร . เอ จี เอลลิส ซึ่งต่อมาได้เป็นกำลังสำคัญในการปรับปรุง โรงเรียนแพทย์ สมเด็จกรมพระยาชัยนาทนเรนทร ได้เสด็จไปเฝ้าสมเด็จพระบรมราชชนก และทรง โน้มน้าวให้หันมาสนพระทัยการแพทย์ และสาธารณสุข เสด็จในกรม ฯ ได้ทรงออกอุบายเชิญเสด็จประทับเรือยนต์ประพาสทางน้ำ เรือแล่นไปตามคลองบางกอกใหญ่ ผ่านเข้าคลองบางกอกน้อย พอเรือออกปากคลองบางกอกน้อย จึงทูลเชิญขอให้ทรงแวะที่ศิริราชพยาบาล ซึ่งเป็นที่ทำงานของเสด็จในกรมฯ สมเด็จพระบรมราชชนกได้ทอดพระเนตรโรงคนไข้ ซึ่งเป็นเรือนไม้หลังคาจาก มีที่ไม่พอรับคนไข้ มีคนไข้นั่งรอนอนรออยู่ตามโคนไม้ อุปกรณ์การรักษา พยาบาลขาดแคลน โรงเรียนแพทย์มีเครื่องมือในการเรียนไม่พอเพียง สมเด็จพระบรมราชชนก ทรงทราบถึงความยากลำบากและขาดแคลนของศิริราช ทรงสลดพระทัยเป็นอันมาก เสด็จในกรมฯ กราบทูลวิงวอนให้สมเด็จพระบรมราชชนก ทรงช่วยจัดการการศึกษาแพทย์ เสด็จในกรมฯ ประทานเหตุผลที่ทรงทำเช่นนั้นว่า เพราะสมเด็จเจ้า ฟ้ากรมขุนสงขลานครินทร์ทรงเป็นเจ้าฟ้าชั้นสูง ถ้าเข้ามาทรง จัดการเรื่องนี้แล้วจะทำให้กิจการแพทย์เด่นขึ้น มีผู้โดยเสด็จช่วยเหลืองานมากขึ้น อนึ่งทูลกระหม่อมทรงมีรายได้สูงแต่พอพระทัยจะใช้ในการบำเพ็ญพระกุศลสาธารณะ และประการสำคัญที่สุดทรงเป็นเจ้าฟ้าที่มีพระปัญญาหลักแหลม มีความเพียรกล้า จะทรงทำอะไรก็ทรงทำจริงไม่ย่อท้อ กิจการแพทย์จะเจริญก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว ถ้าสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนสงขลานครินทร์ ทรงตกลงพระทัยที่จะจัดการเรื่องการแพทย์ "สมเด็จพระบรม ราชชนก ทรงรับสั่งว่าพระองค์เป็นทหารเรือจะช่วยได้อย่างไร" ในที่สุดก็ตกลงพระทัยจะทรงช่วย ในการปรับปรุงการแพทย์ของประเทศไทย โดยเสด็จไปทรงศึกษาวิชาเฉพาะเสียก่อน เพื่อจะให้งานได้ผลจริง ๆ

สมเด็จพระบรมราชชนก ทรงสนพระทัยทางด้านการสาธารณสุข ได้เสด็จเข้าศึกษาวิชาสาธารณสุขที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. 2460 ระหว่างที่ทรงศึกษาอยู่นั้น ทรงสนพระทัยและ เป็นห่วงกิจการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศตลอดเวลา ทรงตระหนักว่าการสาธารณสุขจะได้ผลดีก็ต้องมี แพทย์ที่มีคุณภาพสูง และการจะมีแพทย์ที่มีคุณภาพสูงนั้นจะต้องมีการศึกษาแพทย์ที่เหมาะสม ได้พระราชทานทุนให้แก่นักเรียนแพทย์ ไปศึกษาที่สหรัฐอเมริกาจำนวน 2 ทุน ซึ่งทางโรงเรียนแพทย์ได้คัดเลือกให้ตามพระราชประสงค์ และมีนักเรียนพยาบาล 2 คนที่ได้รับทุนจากสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า คือสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีและนางลิปิธรรม ศรีพยัตต์ นักเรียน ทุนส่วน พ.ศ. 2460 สมเด็จพระบรมราชชนก ทรงดูแลเอาใจใส่นักเรียนของพระองค์ ทรงแนะนำวิธีการดำเนินชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณีของต่างประเทศ ทรงอบรมให้รู้จักกระเหม็ดกระแหม่ ทรงรับสั่งเตือนสติเสมอว่า "เงินที่ฉันได้ใช้ออกมาเรียน หรือให้พวกเธอออกมาเรียนนี้ไม่ใช่เงินของฉัน แต่เป็นเงินของราษฏรเขาจ้างให้ออกมาเรียน ฉะนั้นเธอต้องตั้งใจเรียนให้ดี ให้สำเร็จเพื่อจะได้กลับไปทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ และขอให้ประหยัดใช้เงิน เพื่อฉันจะได้มีเงินเหลือไว้ช่วยเหลือผู้อื่นต่อไป" เรื่องการประหยัดกระเหม็ดกระแหม่ใช้จ่ายเงินทองนั้นมิได้เพียงแต่ รับสั่งอย่างเดียว พระองค์เองก็ทรงปฏิบัติด้วย เช่น ถุงพระบาท ขาดก็ทรงชุนเอง ซักผ้าเช็ดพระพักตร์ ถุงพระบาทหรือสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ รวมทั้งทรงล้างและทำความสะอาดรถยนต์ด้วยพระองค์เอง ระหว่างที่ทรงศึกษาอยู่ที่ฮาร์วาร์ดนี้ ทรงใช้พระนามว่า "มิสเตอร์มหิดล สงขลา" นับเป็นที่ชื่นชมของชาวอเมริกามาก ดังจะเห็นได้จากบทความของ ดร. เอลลิส กล่าวไว้ว่า "ในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด" ก็ทรงเป็นเพียงนักเรียนแพทย์ ผู้หนึ่งไม่ใช่เจ้านาย ในพระนามบัตรก็มีว่า "มิสเตอร์มหิดล สงขลา" ในเวลาที่ประทับอยู่ในประเทศที่ไม่มีเจ้านาย พระองค์ท่านก็ไม่ใช่เจ้านาย เราถือว่าการที่วางพระองค์เช่นนี้ เป็นการให้เกียรติยศอันแท้จริงแก่ ประเทศของเราและสมกับพระลักษณะของการเป็นเจ้านายที่แท้จริง"

พระกรุณาธรรมและเมตตาธรรมของ สมเด็จพระบรมราชชนก นั้น มิได้ทรงพระราชทานเฉพาะกับคนไทยเท่านั้น ทรงเผื่อแผ่ไปถึงชาวต่างชาติที่มาร่วมเรียนด้วย ครั้งหนึ่งทรงทราบว่าพระสหายชาวเม็กซิโก ซึ่งตั้งใจจะกลับไปทำประโยชน์ให้แก่เพื่อร่วมชาติของเขา เกิดขาดเงินค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษาของตน ก็ทรง พระกรุณา พระราชทานเงินให้เขาเดือนละ 100 เหรียญจนกว่าจะสำเร็จการศึกษา

ขณะทรงศึกษาวิชาสาธารณสุขชั้นปีที่ 3 ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สมเด็จพระบรมราชชนกได้เสด็จกลับมาร่วมงาน พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จพระศรีพัชริน ทราบรมราชชนนี พระพันปีหลวง และประทับอยู่ในพระนค รชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่จะเสด็จกลับสหรัฐอเมริกาเพื่อทรงศึกษาต่อ ช่วงระยะเวลาที่ประทับอยู่ในพระนครนี้พระองค์ มิได้ทรงอยู่เฉย ได้เสด็จห้องทดลองที่ศิริราชเพื่อศึกษา ค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับ เชื้อโรคบิดอะมีบาและตัวเชื้อโรคไข้มาลาเรียที่ทรงศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด นอกจากนี้ ยังทรงพระเมตตาสอนนักศึกษาเตรียมแพทย์ ในแผนกอักษร ศาสตร์และวิทยาศาสตร์ รวมทั้งยังทรงปลีกเวลาเรียบเรียงเรื่องโรคทุเบอร์คุโลลิส คือโรคฝีในท้อง หรือวัณโรค พระราชทานแก่กรมสาธารณสุขเพื่อจัดพิมพ์

วันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2463 สมเด็จพระบรมราชชนกได้ทรงอภิเษกสมรสกับนางสาวสังวาลย์ ตะละภัฏ (สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี) หลังจากนั้นสมเด็จพระบรมราชชนกพร้อมพระชายาได้เสด็จยังประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อทรงศึกษาต่อ ในการเสด็จครั้งนี้ ได้ทรงพระราชทานทุนส่วนพระองค์แก่เจ้าหน้าที่ในห้องทดลองวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้ทำงานร่วมกับพระองค์ตามเสด็จไปศึกษาด้วย

สมเด็จพระบรมราชชนกทรงสำเร็จการศึกษา ได้รับประกาศนียบัตรการสาธารณสุขเมื่อ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2464 และได้เสด็จยุโรปพร้อมพระชายาประทับที่เอดินเบอร์ก ทรงเป็นผู้แทนรัฐบาลไทยในการเจรจากับ มูลนิธิร็อกกี เฟลเลอร์ เกี่ยวกับการช่วยเหลือด้านการศึกษาวิชาแพทย์ในประเทศไทย การเจรจานั้นทรงกระทำหลายครั้ง ซึ่งบรรลุผลสำเร็จให้กับรัฐบาลไทย

การเสด็จยุโรปนี้ทรงตั้งพระทัยจะศึกษาวิชาแพทย์ ที่มหาวิทยาลัย เอดินเบอร์ก ให้จบแต่มีอุปสรรคเนื่องจากประชวรด้วยโรคของพระวักกะ ประกอบกับที่อังกฤษมีอากาศชื้นและหนาวเย็น ไม่เหมาะกับโรค ในที่สุดสมเด็จ พระบรมราชชนกก็ต้องเสด็จนิวัติพระนคร เพราะมีพระราชโองการของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นอธิบดีกรมมหาวิทยาลัย ทรงเข้ารับตำแหน่งในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2466

ไม่นานนักก็ทรงรู้สึกเบื่องานประจำโต๊ะ ซึ่งคอยมีหน้าที่ไกล่เกลี่ยประนีประนอมความ ตรวจแก้ไข ข้อบกพร่องของผู้น้อย สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งบั่นทอนพระวรกาย ต่อมาได้ทรงสอนวิชาว่าด้วยกายวิภาคศาสตร์ของสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง และวิชาประวัติศาสตร์แก่นักเรียนเตรียมแพทย์ สมเด็จพระบรมราชชนกทรงห่วงใยนักเรียนของพระองค์เป็นอย่างยิ่ง ไม่เฉพาะแต่การเรียนเท่านั้น แม้ในด้าน ส่วนตัว การอยู่การกินได้เสด็จตรวจหอพักโดยไม่ทรงบอกกล่าว ล่วงหน้า สิ่งที่ทรงพร่ำสอนแก่นักเศึกษาแพทย์ทั้งหลายคือ

"อาชีพแพทย์นั้นมีเกียรติ แพทย์ที่ดีจะไม่ร่ำรวย แต่ไม่อดตาย ถ้าใครอยากร่ำรวย ก็ควรประกอบอาชีพอื่น" ต่อมาทรงพ้นจากตำแหน่งอธิบดีกรมมหาวิทยาลัย และทรงรับตำแหน่งข้าหลวงสำรวจการศึกษาทั่วไป เป็นตำแหน่งที่ตั้งขึ้นเฉพาะพระองค์เท่านั้น

ตามตำแหน่งจะทรงมีสิทธิตรวจและแนะนำงานต่างๆ ได้กว้างขวางขึ้น การที่ทรงตรากตรำทำงานอย่างหนักทั้งเรื่องการก่อสร้างตึก การจัดการโรงเรียน โรงพยาบาล และการเกี่ยวกับหลักการของมหาวิทยาลัย (พ.ศ.2466 - 2468) ทำให้พระอนามัยทรุดโทรม ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2468 ทรงรู้สึกพระองค์ว่าจะต้องรับการรักษา จึงทรงโปรดให้นายแพทย์ผู้หนึ่งตรวจพระอาการ ได้รับคำกราบทูล แนะนำให้เสด็จไปรักษาพระองค์ที่ยุโรปหรืออเมริกาซึ่งมีอากาศเหมาะกับพระอาการ

จากเหตุดังกล่าวแล้วยังมีสิ่งอื่นที่เร่งเร้ากระตุ้นให้เสด็จต่างประเทศ เพื่อทรงศึกษาวิชาแพทย์ให้สำเร็จ
"ฉันหวังว่าการรักษาตัวของฉันจะได้ผลดีขึ้น เท่าที่เป็นอยู่ในเวลานี้ยังไม่แน่ใจว่าควรจะเรียนต่อไปหรือไม่ แต่อย่างไรก็ดีฉันรู้สึกว่า ถ้าฉันจะทำงานเกี่ยวข้องกับโรงเรียนแพทย์อีกต่อไปแล้ว ควรอย่างยิ่งที่จะเรียนให้จบหลักสูตรแพทย์ ในระหว่างสองปีที่อยู่ในกรุงสยาม ฉันรู้สึกตัวว่าฉันยังเป็นรองอยู่มาก"

ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2468 สมเด็จพระบรมราชชนก เสด็จยุโรปพร้อมพระชายาและพระธิดา ครั้งนี้ได้ทรงให้เจ้าหน้าที่ใน แผนกฟิสิกส์คนหนึ่งตามเสด็จ เพื่อไปศึกษาเพิ่มเติมด้วยทุนส่วนพระองค์

สมเด็จพระบรมราชชนก ทรงเข้าศึกษาวิชาแพทย์ต่อในชั้นปีที่ 3 ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ทรงสนพระทัยในวิชากุมารเวชศาสตร์ ทรงศึกษาเกี่ยวกับแบคทีเรียและลักษณะทางคลีนิคของโรคท้องเดินในเด็ก ซึ่งทรงคิดว่าจะเป็นประโยชน์เมื่อเสด็จกลับประเทศไทยและทรงสนพระทัยเป็นพิเศษเกี่ยวกับวิชามารดาทารกสงเคราะห์

ระหว่างที่ทรงศึกษาแพทย์ในปีสุดท้าย ทรงใช้เวลาและพลกำลัง มากเกินไปจนเป็นเหตุ ให้อาการพระโรค ของพระวักกะอักเสบ (ระบบไต) ได้กำเริบขึ้น คณะแพทย์คิดว่าพระอาการจะไม่ฟื้นดีขึ้นได้จึงถวายคำแนะนำ มิให้ทรงตรากตรำเข้าสอบไล่ แต่ต่อมาพระอาการดีขึ้นจึงทรงเข้าสอบจนสำเร็จได้เกียรตินิยม Cum Laude เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2471


ในเดือนธันวาคม ทรงมีลายพระหัตถ์ทูลเสด็จในกรมฯเสนาบดีกระทรวงธรรมการ ขอกลับมาเป็นแพทย์ประจำบ้านที่โรงพยาบาลศิริราช 1 ปี หลังจากทรงจบการศึกษาแล้ว ซึ่ง คณะแพทย์ศาสตร์ไ ด้ตกลงและเตรียมจะถวายตำแหน่งหัวหน้า แพทย์ประจำบ้าน แต่ก็มิได้สำเร็จดังพระราชประสงค์ เนื่องด้วยพระอิสริยยศ ซึ่งขณะนั้นทรงดำรงตำแหน่งเป็นองค์รัชทายาทด้วย เนื่องจากพระพลานามัยไม่สมบูรณ์ จึงทรง ระงับการศึกษาต่อในเรื่องโรคเด็กที่ทรงกำหนดไว้แต่แรก ก่อนเสด็จนิวัติพระนคร สมเด็จพระบรมราชชนก ได้เสด็จประพาสยุโรป เพื่อเป็นการพักฟื้น และเสด็จเยี่ยมนักเรียนทุนส่วนพระองค์ รวมทั้งทอดพระเนตรงานในสถาบันการแพทย์ต่างๆ ทรงเสด็จถึงพระนครเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2471

อ้างอิง : https://www.google.co.th/url?sa=t&rct=j&q=&esrc=s&source=web&cd=3&cad=rja&uact=8&ved=0ahUKEwiZv4L8lNTPAhVDM48KHZkzATQQFgguMAI&url=http%3A%2F%2Fwww.navy.mi.th%2Fnavalmuseum%2F002_history%2Fhtml%2Fhis_b12_rachanok_thai.htm&usg=AFQjCNEsRpApM3iWdGqjkQ9Hov7JBGO0oA

2 ความคิดเห็น: